ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีงานเทศกาลศิลปะมากมายจัดขึ้นทั่วประเทศญี่ปุ่น และก็ได้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมรูปแบบใหม่สำหรับนักท่องเที่ยว แต่อย่างไรก็ตาม อุปสรรคอย่างหนึ่งของเหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติคือเรื่องการเดินทาง เพราะบางคนไม่สามารถขับรถไปยังสถานที่จัดงานได้ นอกจากนี้ก็ยังมีบางคนที่รู้สึกว่าไม่เข้าใจและไม่สามารถเข้าถึงงานศิลปะเหล่านี้ได้อยู่ด้วย แต่อุปสรรคเหล่านี้จะหมดไป หากคุณมาที่งาน “Rokko MEETS ART WALK” ที่จัดขึ้นบนภูเขา Rokko เมืองโกเบ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี! เพราะที่นี่สามารถเดินทางจากในเมืองได้อย่างสะดวกสบาย และชิ้นงานศิลปะก็มีการผสมผสานทิวทัศน์ธรรมชาติเข้าไปด้วย ทำให้ผู้คนสามารถเข้าชมได้ทุกเพศทุกวัย หากคุณสนใจก็ตามมาอ่านบทความนี้และเตรียมตัวเที่ยวเยียวยาจิตใจไปกับงาน ROKKO MEETS ART WALK กันได้เลย!
มารู้จัก "ROKKO MEETS ART WALK" กันเถอะ
เมื่อนึกถึงโกเบ หลาย ๆ คนก็มักจะนึกถึงท่าเรือกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งความจริงแล้ว ที่นี่ก็เป็นท่าเรือการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นและเป็นท่าเรือท่องเที่ยวที่สำคัญด้วย แต่นอกจากนี้ก็ยังมีภูเขา Rokko ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวคันไซมาอย่างช้านานด้วยเช่นกัน เพราะที่นี่มีทั้งวิวสวย ๆ ของทิวทัศน์ยามค่ำคืน และอยู่ใกล้กับน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงอย่าง “อาริมะออนเซ็น” นั่นเอง
งาน “ROKKO MEETS ART WALK 2022” ครั้งที่ 13 ในปีนี้ก็ไม่ได้ต่างกับ Mt. Rokko ในฤดูใบไม้ร่วงเลย เพราะในแต่ละปี เทศกาลศิลปะนี้จะใช้สิ่งก่อสร้างบนภูเขา Rokko เป็นเวที และจัดงานแบบผสมผสานภูมิประเทศและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเข้าไปด้วย คุณจึงสามารถพบกับเสน่ห์ใหม่ ๆ ของภูเขา Rokko ที่ไม่เหมือนกับงานเทศกาลศิลปะอื่น ๆ ได้ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมชม (งานอีเวนต์) นอกจากนี้ ภัณฑารักษ์ก็จะเชิญศิลปินมาสร้างสรรค์ผลงาน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสามารถสมัครมาได้ด้วย หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชอบ Rokko และอยากสร้างสรรค์ผลงานขณะที่มาเยือนที่นี่แล้วล่ะก็ คุณอาจจะได้จัดแสดงผลงานนี้ในอนาคตก็ได้นะ!
วิธีเดินทางไปและวิธีเดินทางภายในสถานที่
มุ่งหน้าสู่ภูเขา Rokko
ภูเขา Rokko ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกสบาย สามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ ทั้งจาก "ย่านซันโนะมิยะ" ใจกลางเมืองโกเบ และ "ย่านอุเมดะ" จังหวัดโอซาก้า จากสถานีเหล่านี้ คุณสามารถเปลี่ยนไปขึ้นรถบัส Kobe City Bus หมายเลข "16" หรือ "106" แล้วไปลงที่ป้าย "สถานีร็อคโคเคเบิลคาร์ชั้นล่าง" (Rokko Cable Car Lower Station) ได้ จากนั้นก็เดินขึ้นเขาไปอย่างง่าย ๆ ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น
● รถไฟ Hankyu Railway สถานี Rokko
● สถานี Rokkomichi ของรถไฟ JR
● สถานี Mikage ของรถไฟ Hanshin Electric Railway
เนื่องจากภูเขา Rokko อยู่ใกล้กับ “อาริมะออนเซ็น" (Arima Onsen) ซึ่งเป็น 1 ใน 3 บ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น เราจึงอยากแนะนำให้คุณใส่มันเข้าไปในแผนการเดินทางของคุณก่อนหรือหลังเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ด้วย และนอกจากนี้ ก็ยังมีรถกระเช้า "Rokko Arima Cable Car" ที่น่าแวะไปด้วยเช่นกัน
การเดินทางไปยังพื้นที่ส่วนต่าง ๆ
นั่ง ร็อคโคเคเบิล ไปจนถึงที่สถานี "Rokko Cable Sanjo Station" จากนั้นก็เปลี่ยนไปขึ้นรถบัสที่เชื่อมไปสู่โถงจัดแสดงซึ่งมีทั้งหมด 3 จุด:
● Rokko Sanjo Bus (สายหลัก)
แผนที่เส้นทางโดยละเอียด สามารถติดตามได้ในเว็บไซต์หลัก:
6 จุดท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์
ROKKO MEETS ART WALK 2022 ประกอบด้วยสถานที่ 10 แห่ง ซึ่งแบ่งเป็น 6 ส่วนย่อย (ตามเส้นประสีเขียวด้านบน) ที่ใต้แผนที่จะมี "01 ร็อคโคเคเบิล" เป็นจุดลงรถสำหรับร็อคโคเคเบิลบนภูเขา ดังนั้น เราจึงขอใช้ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นและจะนำทางคุณเดินไปตามเข็มนาฬิกา ผ่านจุดไฮไลท์และผลงานอันน่าประทับใจในพื้นที่แต่ละส่วน
1. ภาพวิวจาก Sky Terrace บนภูเขา ROKKO (01 ร็อคโคเคเบิล)
ทันทีที่คุณลงจาก "Rokko Cable Sanjo Station" ก็จะได้พบกับงานศิลปะอันดับ 1 ของปีนี้ โดยทางศิลปินได้ทำป้ายรูปคนที่มีรูสำหรับโผล่หน้าจำนวนมากมาตั้งไว้ ให้คุณได้ตามไปชมในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ อีกทั้งยังมีภาพวาดที่ดูตลกน่ารัก มาพร้อมกับตัวละครที่เขาออกแบบเองอย่าง "Rokko Boy" ที่คอยดึงดูดผู้คนมากมายให้ตามมาถ่ายภาพกันอย่างสนุกสนานด้วย
ในสถานีมีทั้งศูนย์บริการและตู้เก็บสัมภาระ อีกทั้งยังมีคาเฟ่ที่ชื่อ TENRAN CAFE อยู่บนชั้น 3 ด้วย ภายในร้านมีลานชมวิวที่คุณสามารถชมทัศนียภาพของเมืองโกเบได้โดยไม่มีอะไรมาบดบังสายตา จากนั้นก็ออกไปขึ้นรถบัสที่นอกสถานีเพื่อไปยังสถานที่จัดงานกันได้เลย
2. สัมผัสประสบการณ์ไปกับดีไซน์แสนสนุกของ Rokko Garden (02 ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูเขา Rokko ประจำจังหวัดเฮียวโกะ / 03 รีสอร์ท ROKKOSAN SILENCE)
ท่าเรือโกเบเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวต่างชาติในยุคเมจิ (ค.ศ. 1868 - 1912) ทำให้ภูเขา Rokko ที่อยู่ข้าง ๆ กันได้รับการพัฒนาเป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ ที่นี่มีรูปปั้นของ Arthur Hesketh Groom ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้จักกันในฐานะ "ผู้ก่อตั้งภูเขา Rokko" ตั้งอยู่ในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูเขา Rokko ประจำจังหวัดเฮียวโกะ รวมถึงรูปปั้นแกะสลักของบรรดาเครื่องเล่นในสวนสนุกที่ตั้งบนพื้นหญ้าสีเขียวด้วย เป็นอีกหนึ่งผลงานในโปรเจคต์นี้เช่นกัน
“Rokko SILENCE RESORT” ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูเขา Rokko ประจำจังหวัดเฮียวโกะ (Memorial Terrace) ในระยะเดินเพียง 5 นาทีเท่านั้น ที่นี่ตกแต่งอย่างน่าประทับใจทั้งภายในและภายนอก อีกทั้งยังมีผลงานของนักวาดมังงะชื่อ Yuichi Yokoyama จัดแสดงอยู่ในแกลเลอรี่บนชั้น 2 ด้วย
3. เดินเล่นในป่าดนตรีที่น่ารื่นรมย์ (04 Rokko Forest Sound Museum)
ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีที่มีชื่อเสียงซึ่งไม่เพียงแต่จัดแสดงกล่องดนตรีที่ผลิตในยุโรปและอเมริกาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เท่านั้น แต่ยังมีพื้นที่ให้คุณได้ทำกล่องดนตรีเอง และเครื่องดนตรีอัตโนมัติที่มาบรรเลงบทเพลงให้ได้ฟังกันด้วย
สวนภายในอาคารแห่งนี้สวยงามมาก และก็มีเส้นทางเดินที่เตรียมเอาไว้อย่างดี นอกจากนี้ก็ยังมีกล่องดนตรีที่ดูเหมือนบ้านนกอยู่ทุกหนทุกแห่งด้วย เมื่อคุณดึงกล่องดนตรีเหล่านี้ลงมา ก็จะมีเพลงจากแอนิเมชันของ Studio Ghibli ดังก้องไปรอบ ๆ ต้นไม้ด้วย เป็นบรรยากาศที่เยียวยาใจได้ดีจริง ๆ
สวนนี้มีการจัดแสดงผลงานอยู่มากมาย รวมถึงผลงานหลักอย่าง Tatakau Onnanoko to Chugoku no Bunkan (闘う女の子と中国の文官) รูปปั้นหญิงสาวที่ตัวทำจากดินเผา แต่ศีรษะดูราวกับมาจากยุคอื่นด้วย สร้างความแปลกประหลาดให้บรรยากาศโดยรอบได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่เดินชมรอบ ๆ กันไปแล้ว เราก็ขอแนะนำให้คุณไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ริมระเบียง Mori no Cafe (森のCafe) หรือไปพักผ่อนกันที่บ้านต้นไม้ต่อ ที่นี่มีทั้งเปลญวนริมสระน้ำ และโต๊ะกับเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในสวน รับรองว่าจะทำให้คุณอยากอยู่ในพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีและฟังบทเพลงธรรมชาติเหล่านี้ไปทั้งวันเลยล่ะ!
4. พืชพรรณและผลงานที่จะทำให้คุณเซอร์ไพรส์ (05 Rokko Alpine Botanical Garden)
ยอดเขา Rokko ตั้งอยู่บนความสูง 931 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และมีสวนพฤกษศาสตร์อยู่ในระดับความสูง 865 เมตร เนื่องจากอากาศที่นี่เย็นสบาย สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้จึงเป็นแหล่งของพืชอัลไพน์กว่า 1,500 สายพันธุ์จากทั่วโลก รวมถึงพืชพรรณพื้นเมืองของ Rokko และหญ้าป่า ไม่ว่าคุณจะมองขึ้นหรือมองลงก็จะได้เห็นดอกไม้และพืชพรรณเล็ก ๆ น่ารักมากมายในทุกฤดูกาล
ไม่เพียงแต่พืชอัลไพน์เท่านั้นที่จะทำให้คุณประหลาดใจ แต่ในช่วงจัดงานนิทรรศการของทุกปี ที่นี่ก็จะกลายเป็นหนึ่งในสถานที่จัดงานหลักด้วย ตัวอย่างเช่น พื้นที่นอกร้าน Shop Alpicola ที่อยู่ตรงทางออกฝั่งทิศตะวันตก จะมีผลงานของศิลปินที่หั่นตัวเองออกเป็นท่อน ๆ ด้วยการวางแสตนดี้รูปมนุษย์เรียงกันในแนวนอน ศิลปินคนนี้มีชื่อเสียงมาจากการทดลองเกี่ยวกับการสำรวจศิลปะบนร่างกายมนุษย์ด้วยการสังเกตเรือนร่างของตัวเองทุกวัน ก่อนจะนำแรงบันดาลใจเหล่านั้นมาสร้างสรรค์ผลงาน
ผลงาน 3 มิติที่น่าอัศจรรย์ใจนี้สร้างขึ้นด้วยหลอดพลาสติก ภายในหลอดมี "น้ำ" ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต และสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอย่าง "หนอนตาเขียว" (หนอนตัวสีเขียว ตาสีเขียว) และในปัจจุบันก็ยังคงมีการสร้างต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ผลงานทั้งหมดออกมาเป็นสีเขียวในเฉดที่แตกต่างกันเมื่อเสร็จ
ผลงานที่ตั้งอยู่ใกล้ทางออกทางทิศตะวันออกนั้นชื่อว่า Hazama no Mori (狭間の森) เป็นกลุ่มสัตว์ประหลาด 3 ขาตัวเล็ก ๆ ที่แต่ละตัวจะมีรูปร่างและท่าทางที่แตกต่างกัน ดูน่ารักสุด ๆ ว่ากันว่านี่เป็นหนึ่งในผลงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในนิทรรศการนี้เลยทีเดียว เพียงแค่มองก็รู้สึกราวกับได้เข้าไปในป่าแฟนตาซีแล้ว
5. เพลิดเพลินกับธรรมชาติของ Rokko อย่างเต็มที่ (06 Rokko Garden Terrance / 07 Rokko-Shidare Natural Somatosensory Observatory/ 08 Rokko-Arima Ropeway Sancho Station)
นอกจาก Sky Terrace ที่กล่าวไปแล้ว Rokko Garden Terrace ก็ยังเป็นสถานที่อันยอดเยี่ยมสำหรับชมวิวทิวทัศน์ของโกเบด้วย ปีนี้มีการตั้งรูปปั้นที่ท่อนบนเป็นวัวและท่อนล่างเป็นกล่องนมอยู่บนระเบียง และยังมีของเหลวสีขาวพุ่งออกมาจากกล่องนมนั้นด้วย เราคิดว่ารูปปั้นนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับฟาร์ม Rokko Mountain Ranch ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง และในขณะเดียวกัน มันก็ยังสื่อถึงวัฒนธรรมอาหารที่อุดมสมบูรณ์ของโกเบด้วย
อาคารต้นไซเปรสที่ดูเหมือนต้นไม้ยักษ์นี้เป็นแลนด์มาร์กของพื้นที่ในเขต "หอชมวิวธรรมชาติร็อคโค - ชิดาเระ" (Natural Somatosensory Observatory Rokko - Shidare) และก็ตามที่ชื่อบอก คือคุณสามารถสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติได้จากในอาคาร ไม่ว่าจะเป็นสายลม แสงแดด ก้อนเมฆ หรือแม้แต่น้ำแข็ง
ที่บันไดทางเข้ามีหมูหลายตัวที่ทำจาก "เศษของเหลือ" ที่ศิลปินรวบรวมมาจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ตัวหมูขนาดใหญ่ทำมาจากเลื่อนหิมะกับไม้ค้ำสกีที่นำมาจากสกีรีสอร์ท Rokko Mountain ในขณะที่หมูตัวเล็กทำจากอุปกรณ์เครื่องครัวและเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่นำมาจากร้านอาหารและสถานบันเทิงต่าง ๆ ผลงานชิ้นนี้ทำให้เราได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูเขา Rokko ตั้งแต่ช่วงที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นก็ไปต่อกันที่บริเวณรอบ ๆ "สถานีโรปเวย์ร็อคโค - อาริมะ ซันโจ" (Rokko-Arima Ropeway Sancho Station) เพราะอีกด้านของสถานีจะมีชานชาลาที่ถูกทิ้งร้างอยู่ บนนั้นมีตาข่ายขนาดใหญ่ที่เป็นผลงานของศิลปินที่ใช้เวลาถึง 14 ปี ในการสร้างให้ใหญ่ยิ่งขึ้น เป็นผลงานที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับรางวัล General Award ปีนี้เลย
6. ที่นี่มีโบสถ์ที่เป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมที่ไม่ควรพลาด (09 Grand Hotel Rokko Sky Villa / 10 โบสถ์แห่งสายลม (Kazenokyokai), โรงละครและศูนย์ศิลปะร็อคโคซัง (Rokkosan Arts Theater and Art Center)
ส่วนสุดท้ายที่เราจะมาแนะนำกันก็คือ กลุ่มผลงานที่สร้างอยู่ในพื้นที่ของ "โบสถ์แห่งสายลม" (Kazenokyokai) และตามที่คุณเห็นในภาพด้านบน พื้นที่ทรายแห่งนี้เคยเป็นโรงแรม Rokko Oriental Hotel (六甲オリエンタルホテル) มาก่อน แต่ก็ได้ปิดตัวลงในปี 2007 และถูกรื้อถอนไปในปี 2017
Kazenokyokai เป็นผลงานของสถาปนิกนามว่า Tadao Ando ที่ยังคงมีสภาพสมบูรณ์และเปิดให้เข้าชมได้ในช่วงงานนิทรรศการประจำปี หากคุณชอบสถาปัตยกรรมก็ไม่ควรพลาด "โบสถ์แห่งสายลม" (Kazenokyokai) นี้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม Tadao Ando's Church Trilogy หรือหนึ่งในสามผลงานที่มีชื่อเสียงของเขา โดยอีก 2 แห่งก็คือ "โบสถ์แห่งแสง" ในโอซาก้า (Osaka Church of the Light) และ "โบสถ์บนน้ำ" ในฮอกไกโด (Hokkaido Chapel on the Water)
สำหรับปีนี้ นักเขียนวิเคราะห์ศิลปะญี่ปุ่นยุคใหม่ผู้ชาญฉลาดอย่างคุณ Shinji Ohmaki ได้ตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่โบสถ์แห่งนี้ให้เป็นสีแดงแทนการใช้กำแพงคอนกรีตเปลือยแบบเดิม ๆ ทำให้ตัวโบสถ์กลายเป็นสีแดงไปด้วย และหอระฆังซึ่งเงียบร้างมานานกว่า 20 ปีก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับจุดไฟแห่งชีวิตขึ้นมาใหม่เลยทีเดียว
ในบริเวณเดียวกันนี้มีศูนย์ศิลปะที่ดัดแปลงมาจากอาคารที่เคยเป็นโรงแรมมาก่อน ภายในจัดแสดงผลงานของศิลปินทั้งหมด 7 คน มีทั้งแนวลึกลับ ตลกขบขัน แปลกประหลาด และอบอุ่น ทั้งหมดล้วนสร้างขึ้นด้วยธีมและสไตล์ที่แตกต่างกัน ในบรรดาผลงานทั้งหมดนี้ ฉันชอบห้องนี้เป็นพิเศษ เพราะด้านในมีภาพ "ซิลลูเอท" (Silhouettes) ที่ศิลปินนำมาตั้งไว้ เป็นรูปเงาของผู้คนที่ยืนถ่ายภาพวิวทิวทัศน์บนผนัง ทำให้ผู้มาเยือนได้รู้สึกเหมือนถูกรายรอบไปด้วยผู้ชมคนอื่น ๆ เมื่อเข้ามาในห้อง เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าดีทีเดียว
5 เคล็ดลับสำหรับการมีช่วงเวลาที่ดี
1. "ตราประทับ" ที่ออกแบบโดยนักเรียนภูเขา Rokko
ตอนที่ฉันไปชมงานเทศกาลศิลปะเมื่อหลายปีก่อน แทบทั้งหมดจะมีโต๊ะตราประทับตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับผลงานด้วย เพื่อให้ผู้ที่ชื่นชอบตราประทับสามารถเก็บสะสมเป็นของที่ระลึกจากงานได้นั่นเอง โดยตราในงาน “MEETS ART WALK 2022” จะมีความพิเศษมาก เพราะทั้งหมดจะมาในลวดลายที่แตกต่างกัน เป็นผลงานการออกแบบของเด็ก ๆ จากโรงเรียนบนภูเขา Rokko
2. อิ่มอร่อยกับอาหารในธีม "มิโซะ"
ความพิเศษของงานอีเวนต์ปีนี้ คือ การเปิดตัวสินค้าใหม่ขึ้นชื่อ นั่นก็คือ "อาหารเมนูมิโซะแห่งภูเขาร็อคโค" (Mt. Rokko Miso Cuisine) โดยร้านอาหารและคาเฟ่ทั้ง 7 แห่งบนภูเขา Rokko จะมาขายอาหารที่ปรุงด้วยมิโซะจากภูเขา Rokko ซึ่งสามารถหาทานได้ในงานนี้เท่านั้น เพราะเป้าหมายของการจัดงานในครั้งนี้ คือ เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติและศิลปะ ขณะที่ลิ้มลองส่วนผสมที่มีคุณภาพของท้องถิ่นไปด้วยนั่นเอง
นอกจากนี้ ภูเขา Rokko ก็ยังมีร้านอาหารมากมายที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับมื้ออาหารระหว่างที่ชมวิวด้านล่างไปพร้อม ๆ กันได้ด้วย
คุณสามารถเพลิดเพลินกับคอร์สอาหารสูตรต้นตำรับและเมนูอาหารชุดได้ที่ร้าน Granite Cafe ของ Rokko Garden Terrace
ร้านนี้มีเมนูอาหารที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างมีสไตล์ ปรุงเป็นพิเศษโดยฝีมือของเชฟชั้นดี อีกทั้งยังมีขนมหวานแฮนด์เมดสูตรพิเศษด้วย
ในช่วงกลางคืน คุณก็จะได้รับประทานอาหารพร้อมกับชมวิวยามค่ำคืนที่สวยงาม
3. อีเวนต์ "Hikari no Mori ~Night Art Walk~ -" นิทรรศการสุดพิเศษในยามค่ำคืน
ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ของช่วงจัดงาน สวนพฤกษศาสตร์ Rokko Alpine Botanical Garden และ พิพิธภัณฑ์เสียง Rokko Forest Sound Sound Museum จะเปิดให้บริการจนถึง 20:00 น. และในตอนกลางคืน สถานที่ทั้ง 2 แห่งนี้ก็จะประดับประดาไปด้วยแสงไฟ ทำให้คุณสามารถเที่ยวชมบรรยากาศงานในยามค่ำคืนได้ด้วย
ในงานนี้ ศิลปิน Korta Korahashi ซึ่งเป็นแขกรับเชิญประจำในงานเทศกาลศิลปะที่สำคัญ ก็ได้มีการใช้แสงไฟและวิดีโอเพื่อสร้างบรรยากาศที่แตกต่างให้กับงานด้วยเช่นกัน
4. "ใบเมเปิ้ลแดง" ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงที่จะทำให้งานนี้น่าสนใจยิ่งขึ้น
ฉันไปเที่ยวที่นี่ในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตอนนั้น ทิวทัศน์ยังเป็นสีเขียวซีดเหมือนภาพอื่น ๆ ในบทความนี้ ในอดีต ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้แดงบนภูเขา Rokko จะอยู่ใที่ต้นถึงปลายเดือนพฤศจิกายน และฉันก็เชื่อว่าใบไม้แดงเหล่านี้จะทำให้งานศิลปะดูแตกต่างไปจากเดิมด้วย!
5. เตรียมพร้อมรับมือกับ "สภาพอากาศบนภูเขา" ที่เปลี่ยนแปลงบ่อย
ในช่วงเย็นของวันที่ฉันไป มีทั้งหมอกและฝนตก อุณหภูมิก็ลดลงอย่างน่าตกใจ ถึงแม้จะน่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของที่นี่ได้ แต่ภาพหมอกของภูเขา Rokko ก็เป็นบรรยากาศที่พิเศษเช่นกัน หากคุณจะมาเที่ยวที่นี่ ยังไงก็อย่าลืมนำอุปกรณ์กันฝนและเสื้ออุ่น ๆ ติดตัวไปด้วยนะ
ธรรมชาติและงานศิลปะที่อยู่ใกล้เคียง
ฉันเชื่อว่าหลังจากที่เยี่ยมชมงาน ROKKO MEETS ART WALK 2022 แล้ว ก็จะพบว่าเมืองโกเบสุดงดงามนี้มีทิวทัศน์ธรรมชาติมากมายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วยเช่นกัน และงานศิลปะที่จัดแสดงอยู่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก ตัวอย่างเช่น ตอนที่แฟนของฉันที่ไปด้วยกันได้เห็นการออกแบบการติดตั้งที่หน้าอาคารขนาดใหญ่ข้างทาง และถามว่านั่นใช่ส่วนหนึ่งของงานนิทรรศการนี้ด้วยหรือเปล่า (เพราะเราไม่เห็นมันในแผ่นพับ) แต่ฉันคิดว่าหากฉันรู้สึกทึ่งไปกับมันและสัมผัสได้ถึงความสวยงามที่อยู่ในนั้นจนคิดว่ามันเป็นงานศิลปะแล้วล่ะก็ มันก็เป็นงานศิลปะได้เหมือนกัน!
ภูเขา Rokko เป็นสถานที่อันน่าทึ่งที่คุณสามารถเที่ยวชมในฤดูใบไม้ร่วงพร้อมกับชมงานศิลปะในธรรมชาติได้
“ROKKO MEETS ART WALK 2022
ระยะเวลาการจัดแสดง : วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2022 – วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 (วันหยุดนักขัตฤกษ์)
ไม่มีวันหยุดในช่วงเทศกาล ยกเว้นบริเวณ ROKKOSAN SILENCE RESORT ที่จะปิดให้บริการทุกวันจันทร์ในช่วงเดือนตุลาคม
ช่วงเวลาเข้าชม: 10:00 – 17:00 น. *ผลงานบางส่วนจะสามารถชมได้หลัง 17:00 น. เท่านั้น ขึ้นอยู่กับสถานที่จัดแสดง
Passport:
Viewing Passport: ผู้ใหญ่ 2,500 เยน, เด็ก 1,000 เยน
Viewing Passport พร้อมบัตรกลางคืน: ผู้ใหญ่ 3,300 เยน, เด็ก 1,400 เยน เด็ก (มีส่วนลด 200 เยน สำหรับตั๋วที่ซื้อในสำนักงานขายของบริษัทรถไฟที่มีส่วนร่วมในการจัดงาน และสำนักงานขายที่ตั้งอยู่ตามถนนในเมือง คุณสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ทางการ)