"Tadao Ando" (ทาดาโอะ อันโดะ) เป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านนวัตกรรมอาคารหล่อคอนกรีต เนื่องจากเขาเกิดในโอซาก้า ภูมิภาคคันไซจึงมีงานสถาปัตยกรรมของเขาอยู่มากมาย และต่อจากนี้ เราก็จะมาแนะนำจุดท่องเที่ยวที่คุณสามารถสัมผัสกับวัฒนธรรมและงานศิลปะได้ ขณะที่เพลิดเพลินกับการออกแบบสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของเขาไปพร้อม ๆ กัน
1. 【KOBE】Hyogo Prefectural Museum of Art
3.【OSAKA】ป่าหนังสือเด็ก Nakanoshima
4.【KYOTO】พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Asahi Beer Oyamazaki Villa
1. 【KOBE】Hyogo Prefectural Museum of Art
พิพิธภัณฑ์นี้เปิดตัวขึ้นในปี 2002 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่ง "การฟื้นฟูวัฒนธรรม" จากแผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิน (Hanshin-Awaji Earthquake) และมีชื่อเล่นสั้น ๆ ว่า "พิพิธภัณฑ์ศิลปะ" ที่นี่จัดแสดงผลงานกว่า 10,000 ชิ้น รวมถึงประติมากรรมสมัยใหม่และภาพพิมพ์ต่าง ๆ จากญี่ปุ่นและต่างประเทศ นอกจากการจัดแสดงผลงานศิลปะเหล่านี้แล้ว จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ อาคารที่ออกแบบโดยคุณ Ando ซึ่งเป็นโครงสร้างที่เรียบง่ายแต่เหมือนเขาวงกตขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแสง ผู้เยี่ยมชมสามารถดื่มด่ำกับประสบการณ์เชิงพื้นที่ที่ซับซ้อนและหลากหลายในสถานที่ที่ผสมผสานศิลปะแขนงต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้อย่างน่าสนใจ
หลังจากผ่านโถงทางเข้าที่มีบรรยากาศเงียบสงบแล้ว ผู้มาเยือนก็จะได้รับการต้อนรับด้วยทางเดินผนังกระจกที่ล้อมรอบห้องนิทรรศการซึ่งมีแสงธรรมชาติส่องเข้ามาอย่างเต็มที่ และส่วนอื่น ๆ ของอาคาร แต่ละส่วนก็ทำให้มีบรรยากาศที่ดูร่มรื่นเช่นกัน
"เฉลียงทรงกลม" นี้เป็นสัญลักษณ์ของทางพิพิธภัณฑ์ ทำหน้าที่เชื่อมพื้นที่ชั้นใต้ดินชั้นแรกเข้ากับพื้นที่กลางแจ้งบนชั้น 2 และเชื่อมระหว่างอาคารนิทรรศการ อาคารแกลลอรี่ ทะเล และภูเขา คอนกรีตที่หล่อขึ้นมาก่อตัวกันเป็นเกลียวสวยงามทำให้เกิดมุมแสงเงาที่น่าประทับใจ
ในปี 2019 อาคารนิทรรศการหลังที่ 2 (Ando Gallery) ได้เปิดตัวขึ้นเพื่อจัดแสดงงานสถาปัตยกรรมของ Ando ด้วยการใช้แบบจำลองจากผลงานชิ้นเอกของเขา เช่น "Sumiyoshi Row Houses" และ "Church of Light" รวมถึงโปรเจคต์ต่าง ๆ ที่เขาทำทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ นับเป็นสถานที่ห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับผลงานของ Ando
"Sea Deck" เป็นพื้นที่ชมวิวบนชั้น 3 ของพื้นที่กลางแจ้ง หน้าตาคล้ายจะยื่นออกไปในทะเล และมีรูปปั้นแอปเปิ้ลเขียวขนาดใหญ่ซึ่งคุณ Ando ออกแบบตามบทกวี “Youth“ ของกวีชาวอเมริกันชื่อ Samuel Ullman ตั้งประดับอยู่ด้วย
นอกจากนี้ บนชั้น 4 ยังมี "Mountain Deck" และ "Wind Deck" ในขณะที่อีกด้านหนึ่งของทางเข้าชั้น 1 ก็มีบันไดขนาดใหญ่ที่นำไปสู่พื้นที่กลางแจ้งบนชั้น 2 และ 3 เช่นกัน ผู้เข้าชมสามารถนั่งหันหลังให้พิพิธภัณฑ์และมองออกไปยังมหาสมุทรที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าได้
เสน่ห์ที่เป็นที่สุดของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ การเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเรื่อย ๆ โดยขึ้นอยู่กับเวลาและฤดูกาลที่คุณไปเยี่ยมชม ซึ่งก็อาจทำให้หลงทางหรือไม่สะดวกอยู่บ้าง แต่ก็มีความสนุกที่ซ่อนอยู่ในการหากลไกทางสถาปัตยกรรมของพิพิธภัณฑ์อยู่ด้วย! ลองมาเยี่ยมชมเพื่อสัมผัสกับประสบการณ์เชิงพื้นที่ที่สามารถรู้สึกได้เพียงชั่วขณะกันดูสิ
ข้อมูลสถานที่
ที่อยู่
1-1-1, Wakinohamakaigandori, Chuo-ku, Kobe, Hyogo[แผนที่]
การเดินทาง
เดิน 8 นาที จากสถานี Iwaya ของรถไฟสาย Hanshin Main Line
เวลาเปิดทำการ
10.00~18.00 น. (เข้าชมรอบสุดท้ายเวลา 17.30 น.)
ปิด
วันจันทร์ (วันถัดไปหากวันจันทร์เป็นวันหยุดราชการ)
วันหยุดปีใหม่ (31 ธ.ค. – 1 ม.ค.)
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่: 500 เยน
70 ปีขึ้นไป : 250 เยน
นักศึกษา: 400 เยน
นักเรียนมัธยมปลายและต่ำกว่า: ฟรี
2. 【KOBE】โบสถ์แห่งสายลม
ที่นี่เป็น 1 ในโบสถ์ 3 แห่ง ที่เรียกว่า "Church Trilogy" ที่คุณ Ando เป็นคนออกแบบ และเป็นอาคารโบสถ์หลังแรกของคุณ Ando ที่สร้างเสร็จในปี 1986 บนยอดเขา Rokko จึงถูกเรียกว่า "Church of the Wind" เพราะมีบรรยากาศอันแสนสดชื่นที่ได้จากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ โบสถ์นี้ถูกออกแบบมาสำหรับจัดพิธีแต่งงานของทางโรงแรม และในปัจจุบันก็ไม่ได้เปิดให้บริการแก่สาธารณชน แต่จะเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้เป็นกรณีพิเศษในช่วงงาน "ROKKO MEETS ART WALK" ซึ่งเป็นงานศิลปะร่วมสมัยที่จัดขึ้นทุกปีตั้งแต่ช่วงปลายฤดูร้อนถึงฤดูใบไม้ร่วง
ตัวโบสถ์มีหอคอยทรงสี่เหลี่ยมทึบตั้งอยู่บนโครงคอนกรีตหล่อ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสถาปัตยกรรมสไตล์ Ando แสงที่ส่องผ่านช่องว่างระหว่างผนังกับเพดานลงมาจะทำให้พื้นที่ดูศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบ การออกแบบนี้มีต้นกำเนิดมาจากวิหาร "Notre Dame de Senancq Abbey" ในรัฐโพรวองซ์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 และ 13 ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้คุณ Ando เป็นอย่างมาก หลังจากที่ได้เยี่ยมชมโบสถ์และรู้สึกประทับใจในการใช้แสงที่ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กบนกำแพงหินขรุขระเป็นดาวเด่นในการนำเสนอพื้นที่
ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งของอาคาร คือ "โคลอนเนด" (Colonnade) ทางเดินที่มีเสายาว 40 เมตรที่นำไปสู่โบสถ์ ทำจากกระจกฝ้าสีศิลาดล (คล้ายสีเขียวหยก) แนวเสานี้พัฒนามาจากแนวเสารอบลานของวิหาร "Notre-Dame de Senancq Abbey" ที่เป็นแบบเส้นตรง สายลมที่พัดผ่าน ความเขียวขจีโดยรอบ (greenery) และตัวอาคารผสมผสานกันได้เป็นพื้นที่อันแสนยอดเยี่ยม
"โบสถ์แห่งสายลม" ซ่อนตัวอยู่ในป่าบนภูเขา Mt.Rokko เงาของแสงทำให้ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ที่สวยงาม และทำให้คุณรู้สึกว่าเวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างน่าประหลาด มาใช้เวลาของคุณกับการฟังเสียงธรรมชาติ สัมผัสกับสายลมที่พัดผ่าน และเพลิดเพลินกับวิวพาโนราม่าของเมืองโกเบและโอซาก้าจากยอดเขา Rokko กันดูสิ
โดยปกติแล้ว โบสถ์แห่งนี้จะปิดไม่ให้คนทั่วไปเข้าชม แต่จะเปิดเฉพาะช่วงที่มีงาน "ROKKO MEETS ART WALK" เท่านั้น สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรม คุณสามารถตรวจสอบได้จากทางเว็บไซต์ ดังนั้น อย่าพลาดโอกาสสุดหายากนี้กันเลยเชียว!
ข้อมูลสถานที่
ที่อยู่
1878-78, Nishitaniyama, Rokkosan-cho, Nada-ku, Kobe, Hyogo [แผนที่]
การเดินทาง
ขึ้นรถบัส Kobe City Bus จากสถานี Mikage ของรถไฟสาย Hanshin Main Line
ลงที่ป้าย Rokko Cable Shita
แล้วขึ้น ร็อคโคเคเบิล เพื่อไปด้านบน
จากนั้นเดินต่อ 20 นาที จากสถานี Rokko Sanjo
เว็บไซต์
เวลาเปิดทำการ
10.00 - 16.50 น. (ปิดลงทะเบียนเวลา 16.30 น.)
ปิด
โดยปกติจะปิดไม่ให้คนทั่วไปเข้าชม และจะเปิดให้บริการเฉพาะในช่วงงาน “ROKKO MEETS ART” เท่านั้น
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่: 1,000เยน
เด็ก: 400เยน
3.【OSAKA】ป่าหนังสือเด็ก Nakanoshima
"ฉันต้องการให้เด็ก ๆ ได้หยิบหนังสือที่หลากหลายและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์กับความอยากเรียนรู้ไปอย่างไร้ขีดจำกัด แล้วฉันก็ต้องการให้พวกเขาได้รู้จักกับคำพูด ความรู้สึก และแนวคิดในหนังสืออย่างเป็นธรรมชาติ และเรียนรู้ว่ามีผู้คนและวิถีชีวิตในโลกที่แตกต่างจากพวกเขาด้วย" นี่เป็นแนวคิดที่ทำให้สถาปนิก Tadao Ando ตัดสินใจออกแบบอาคารเหล่านี้ด้วยตนเองเพื่ออุทิศให้กับเมืองโอซาก้า และในที่สุด อาคารแห่งนี้ก็ถือกำเนิดขึ้นในบริเวณสันทราย Nakanoshima ในปี 2020 โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแต่ละวันนั้นก็ได้รับการสนับสนุนจากเงินบริจาคของประชาชนและบริษัทต่าง ๆ เช่นกัน
รูปปั้นแอปเปิ้ลสีน้ำเงินยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงระเบียงทางเข้านั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทกวี "Youth" ของกวีชาวอเมริกัน ชื่อ Samuel Ullman ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของคุณ Ando ที่ต้องการให้ผู้คนจำนวนมากประทับใจในสัญลักษณ์ของเยาวชนที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความท้าทาย
ในการออกแบบอาคาร คุณ Ando ได้เน้นเรื่องการใช้ประโยชน์จากสถานที่ใน Nakanoshima ซึ่งเปรียบเสมือนแหล่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของโอซาก้าที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเต็มที่ และพยายามให้แน่ใจว่าเด็ก ๆ จะได้มีบทบาทสำคัญในสถานที่แห่งนี้ อาคารริมแม่น้ำ Dojima สร้างขึ้นด้วยคอนกรีตผิวเรียบ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของสถาปัตยกรรมของคุณ Ando อีกทั้งทางทิศตะวันตกก็ยังมีพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาโอซาก้า ศาลากลางโอซาก้า และอาคารด้านวัฒนธรรมและศิลปะอื่น ๆ อีกมากมายด้วย
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นโถง 3 ชั้นที่มีบันไดและทางเดินสะพานเหมือนเขาวงกตสามมิติ ผนังทั้งหมดเต็มไปด้วยชั้นหนังสือไม้ สร้างบรรยากาศที่น่าตื่นเต้นราวกับได้เดินเข้าไปใน "ป่าหนังสือ" และค้นหาหนังสือใน "ห้องพักผ่อน" ซึ่งเป็นพื้นที่ทรงกระบอกที่ไม่มีพื้นคอนกรีต มีการแสดงวิดีโอเพื่อกระตุ้นให้เด็กสนใจหนังสือกันมากขึ้นด้วย
หนังสือเล่มเดียวกับที่ตั้งโชว์อยู่บนชั้นจะถูกนำมาวางไว้ที่ชั้นล่างเพื่อให้ได้ทดลองอ่านกัน ส่วนเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดนั้นทำจากไม้เพื่อให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น
ที่เห็นอยู่นี้ คือ "ประติมากรรมคำพูด" หรือ "Sculptures of Words" ที่จัดแสดงอยู่ตามชั้นหนังสือ นอกจากนี้ก็ยังมีประโยคสั้น ๆ อันน่าประทับใจที่นำมาจากหนังสือ ซึ่งทำเป็นตัวอักษรสามมิติในช่องว่างด้วย เนื่องจากเด็ก ๆ มักจะเดินผ่านชั้นหนังสือไป เราจึงต้องการสร้างโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เริ่มอ่านหนังสือและสัมผัสกับประโยคที่มีเสน่ห์สักประโยคหนึ่งโดยการนำถ้อยคำเหล่านั้นไปใส่ในขอบเขตการมองเห็นของพวกเขา นี่คือแนวคิดเบื้องหลังการสร้างป่าหนังสือแห่งนี้
"ป่าหนังสือเด็กนาคาโนะชิมะ" เป็นสถานที่ที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถดื่มด่ำไปกับเสน่ห์ของหนังสือได้ อาคารนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมของ Ando กับทิวทัศน์ริมแม่น้ำของ "โอซาก้า" เมืองแห่งสายน้ำ ผู้มาเยือนสามารถเพลิดเพลินกับโลกแห่งหนังสือได้อย่างเต็มที่
(ต้องจองล่วงหน้า กรุณาตรวจสอบเว็บไซต์ทางการของ Nakanoshima Children's Book Forest เพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเข้าชม)
ข้อมูลสถานที่
ที่อยู่
1-1-28, Nakanoshima, Kita-ku, Osaka[แผนที่]
การเดินทาง
เดิน 5 นาที จากสถานี Kitahama ของรถไฟสาย Osaka Metro Sakaisuji Line
เวลาเปิดทำการ
09:30 - 17:00 น.
ปิด
วันจันทร์ (หากวันจันทร์เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ห้องสมุดจะเปิดให้บริการในวันจันทร์ และปิดให้บริการในวันธรรมดาถัดไป)
ระยะเวลาเคลียร์การจัดเก็บ
ช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่
ค่าเข้าชม
ฟรี
4.【KYOTO】พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Asahi Beer Oyamazaki Villa
ที่นี่สร้างขึ้นโดยนักธุรกิจ Shotaro Kaga เพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศตั้งแต่ยุคไทโช (ค.ศ. 1912 - 1926) จนถึงต้นยุคโชวะ (ค.ศ. 1926 - 1989) เมื่อเวลาผ่านไป วิลล่าก็เริ่มทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี 1996 ได้เกิดการเรียกร้องให้อนุรักษ์สถาปัตยกรรมอันล้ำค่าและธรรมชาติโดยรอบไว้ ที่นี่จึงได้รับการบูรณะให้กลับสู่สภาพเดิมและเปิดใหม่อีกครั้งในฐานะพิพิธภัณฑ์ศิลปะพร้อมปีกใหม่ที่ออกแบบโดย Tadao Ando
ส่วนอาคารหลักซึ่งออกแบบโดย Shotaro Kaga นั้นสร้างจากไม้ในยุคไทโชและได้รับการขยายพื้นที่มากขึ้นในช่วงต้นยุคโชวะ อาคารหลักสร้างด้วยการผสมผสานเทคนิคต่าง ๆ เข้าด้วยกัน รวมถึงการใช้คานและเสาแกะสลักด้วย
ส่วนบนของอาคารหลักใช้ระบบแบบครึ่งไม้ (Half-timber) ซึ่งจะมีการโชว์ลักษณะโครงไม้ของสไตล์อิงลิชทิวดอร์โกธิค และสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กพร้อมโครงเหล็กสำหรับส่วนหลังคา
ส่วนระเบียงบนชั้น 2 มีทิวทัศน์อันงดงามของแม่น้ำ 3 สายที่ไหลผ่าน Kizu, Uji และ Katsura ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยตั้งแต่มีการก่อสร้าง
ส่วนเสริมที่เรียกว่า Jichu-kan แห่งนี้เป็นผลงานการออกแบบของคุณ Ando ทำหน้าที่เป็นทางเดินเชื่อมอาคารหลักเข้าด้วยกัน ทำด้วยคอนกรีตฉาบเรียบ ๆ มีผนังกระจกติดตั้งเอาไว้ทั้งสี่ด้านและด้านหน้า สามารถมองเห็นทิวทัศน์ตามฤดูกาลที่อยู่โดยรอบได้อย่างชัดเจน สร้างบรรยากาศที่ดูเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
สระน้ำขนาดเล็กที่มีดอกบัวบานอยู่ข้าง ๆ บันไดที่นำไปสู่ Chichu-kan มีชื่อเรียกว่า "Chichu-no-Jewel Box" จากหน้าต่างที่อยู่สุดปลายของบันไดยาว คุณสามารถมองเห็นบ่อน้ำสูงในระดับสายตาของคุณได้ เนื่องจากตัวอาคารตั้งอยู่บนทางลาด ดังนั้นก็อย่าลืมเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่ชมได้จากภายในอาคารกันด้วยนะ
Chichu-kan หรือที่คุณ Ando เรียกว่า "Underground Jewel Box" นี้ ได้รับการออกแบบในโครงสร้างกึ่งใต้ดินทรงกระบอกเพื่อให้ดูกลมกลืนกับภูมิทัศน์โดยรอบ หลังคาเหนือพื้นที่จัดแสดงมีการปลูกต้นไม้เพื่อให้กลมกลืนกับความเขียวขจี (greenery) ของสภาพแวดล้อมด้วย
ในปี 2012 คุณ Ando ได้ออกแบบอาคารใหม่ที่ชื่อ Yamatekan "Box of Dreams" จนเสร็จสมบูรณ์ อาคารนี้มีโครงสร้างเป็นทรงกล่องซึ่งตรงข้ามกับ "Chichu Jewel Box" ตัวอาคารคอนกรีตตั้งตรงถูกฝังไว้ในดงต้นไม้ และด้านบนก็มีการปลูกต้นไม้ไว้เพื่อให้ดูเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเหมือนกับ Chichu-kan นั่นเอง
ทั้งอาคารเก่าและใหม่ และสภาพแวดล้อมที่อยู่ร่วมกันอย่างสมดุลนี้จะทำให้คุณรู้สึกถึง "การเกิดใหม่" ของสถาปัตยกรรมสไตล์ Ando ในวิลล่าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่หลังนี้
ข้อมูลสถานที่
ที่อยู่
5-3, Zenihara, Oyamazaki-cho, Otokuni-gun, Kyoto [แผนที่]
การเดินทาง
เดิน 10 นาที จากสถานี Oyamazaki ของรถไฟสาย Hankyu Kyoto Line
เวลาทำการ
10.00 - 17.00 น. (เข้าชมครั้งสุดท้ายเวลา 16.30 น.)
ปิด
วันจันทร์ (หรือวันอังคารถัดไป หากวันจันทร์เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
ปิดชั่วคราว
ช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่: แตกต่างกันไปในแต่ละนิทรรศการ
นักเรียนมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย: 500 เยน
นักเรียนมัธยมต้นและต่ำกว่า: ฟรี
5.【KYOTO】สวนวิจิตรศิลป์เกียวโต
สวนแห่งนี้เปิดตัวขึ้นในปี 1994 เป็นสวนภาพวาดแห่งแรกของโลกที่สามารถเข้าชมกลางแจ้งได้ สถานที่นี้ออกแบบโดยคุณ Ando เป็นพื้นที่จัดแสดงภาพวาดบนกระดานเซรามิกที่แข็งแรงกลางแจ้งซึ่งจำลองความงดงามของผลงานชิ้นเอกในรูปแบบดั้งเดิมเอาไว้ ที่นี่เป็นสวนริมน้ำ มีน้ำตกและสระน้ำขนาดใหญ่เล็กปะปนกันไป โดยบรรยากาศของงานก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานที่ชม จุดชมวิว และสภาพอากาศ
อาคารนี้มี 3 ระดับ โดยมีทางลาดเอียงต่ำลงจากระดับพื้นดินไปยังชั้นใต้ดินชั้นที่ 2 ซึ่งผู้เข้าชมสามารถชมนิทรรศการจากด้านล่างได้ตามลำดับ
จัดแสดงผลงานชิ้นเอกทั้งหมด 8 ชิ้นจากทั่วโลก โดย 4 ชิ้นถูกสร้างขึ้นเพื่องาน "International Garden and Greenery Exposition" ที่จัดขึ้นในปี 1990 และจัดแสดงใน "Garden of Masterpieces" ซึ่งเป็นศาลาที่ออกแบบโดยคุณ Ando ส่วนอีก 4 ชิ้นถูกสร้างขึ้นสำหรับอาคารหลังนี้โดยเฉพาะ
ภาพวาด "The Last Judgement" ของ Michelangelo ที่มีขนาดเกือบเท่าตัวคนด้วยความสูงกว่า 13 เมตร สามารถชมได้จากทุก ๆ ชั้นบนทางเดิน
ภาพวาด "The Last Supper" ของ Leonardo da Vinci คั่นอยู่ระหว่างท้องฟ้าและผืนน้ำ ภาพวาดนี้ได้รับการออกแบบให้สะท้อนลงไปในน้ำ ทำให้ดูน่าสนใจว่าภาพวาดบนผิวน้ำจะแตกต่างจากภาพวาดปกติอย่างไร
สมบัติของชาติ ภาพล้อเลียนนก สัตว์ และมนุษย์ในเวอร์ชันขยายใหญ่ขึ้น 2 เท่า แถบเลื่อนยาว ๆ ที่อ่านจากด้านขวานี้ถูกนำมาจัดแสดงเพื่อให้ผู้มาเยือนสามารถชมได้อย่างลื่นไหลไปตามทิศทางของการเดิน
ผลงานของ Van Gogh และ Renoir ที่มองผ่านหน้าต่างบนผนังคอนกรีต ให้บรรยากาศที่แตกต่างจากภาพวาด "Waterlilies, Morning" ของ Monet ที่จัดแสดงอยู่ใต้น้ำเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกประทับใจในมุมมองของเขา และการชมที่ดูราวกับว่ากำลังจ้องมองภาพวาดจากด้านบนนั้นก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครด้วย เป็นวิธีสุดแหวกแนวที่จะทำให้คุณได้เพลิดเพลินกับภาพวาด ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของแสงและผิวน้ำที่ส่องประกายระยิบระยับซึ่งสามารถหาชมได้จากภาพวาดบนกระดานเซรามิกเท่านั้น
พื้นที่นี้ออกแบบโดย Ando โดยใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมกลางแจ้งในการสร้างสรรค์ เป็นสถานที่แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับงานศิลปะในรูปแบบที่แตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ในอาคาร
ข้อมูลสถานที่
ที่อยู่
Shimogamo Hangi-cho, Sakyo-ku, Kyoto[แผนที่]
การเดินทาง
จากสถานี Karasuma ของรถไฟสาย Hankyu Kyoto Line
เปลี่ยนไปขึ้นรถไฟใต้ดิน Kyoto Municipal Subway ลงที่สถานี Kitayama
แล้วเดินต่อ 1 นาที
เว็บไซต์
เวลาทำการ
9:00-17:00 น. (เข้าชมครั้งสุดท้ายเวลา 16:30 น.)
ปิด
28 ธันวาคม - 4 มกราคม (สวนสาธารณะอาจปิดเพื่อซ่อมบำรุงสิ่งอำนวยความสะดวก ฯลฯ)
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่: 100เยน
นักเรียนมัธยมต้นและต่ำกว่า + อายุ 70 ปีขึ้นไป : ฟรี
6.【HIMEJI】พิพิธภัณฑ์วรรณกรรมเมืองฮิเมจิ
พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมรดกโลกเชิงวัฒนธรรมและสมบัติของชาติ "ปราสาทฮิเมจิ" นี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1991 เพื่อเป็นฐานสำหรับการทำกิจกรรมทางวรรณกรรมทุกประเภท รวมถึงการรวบรวมและศึกษาเนื้อหาโดยนักเขียนและนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับฮิเมจิและพื้นที่อื่น ๆ ของฮาริมะด้วย
การออกแบบอาคารที่เป็นเอกลักษณ์ของอันโดะ ซึ่งมีการ "ออกแบบให้เป็นพื้นที่สำหรับการหมุนเวียนและสนทนากับวรรณกรรมโดยมีปราสาทเป็นฉากหลัง" ดูกลมกลืนกับทิวทัศน์ของเมืองเก่าในขณะที่สร้างภูมิทัศน์ใหม่ไปพร้อม ๆ กัน และจากแนวคิดการออกแบบที่คุณสามารถเดาได้จากชื่อ ปราสาทฮิเมจิที่มีชื่อเล่นว่า "ปราสาทชิราซากิโจ" นี้สามารถชมจากภายในอาคารได้ นับเป็นสถานที่สุดพิเศษที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับเมืองฮิเมจิได้จากทั้งภายในและนอกอาคาร
อาคารแห่งนี้ประกอบด้วยปีกเหนือ 3 ชั้นและปีกใต้ 2 ชั้น อีกทั้งยังมี "Bokkeitei" บ้านญี่ปุ่นจากสมัยไทโชที่มีห้องสไตล์ญี่ปุ่นขนาด 40 เสื่อและห้องทำพิธีชงชาด้วย
"ทางเดินประวัติศาสตร์ปราสาทฮิเมจิ" ที่ชั้น 1 ของปีกเหนือมีการนำเสนอเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของปราสาทฮิเมจิและภูมิภาคผ่านวิดีโอและกราฟิก โดยมีอยู่ทั้งหมด 26 ตอนในทางเดินโค้งยาว ซึ่งผู้มาเยือนสามารถชื่นชมได้โดยเดินตามทางโค้งไปเรื่อย ๆ
ในชั้นเดียวกันนี้ มีห้องนิทรรศการ "Forest of Words" ที่ผู้เข้าชมสามารถสัมผัสกับคำพูดอันน่าประทับใจที่บุคคลในวรรณกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับฮาริมะและชีวิตของพวกเขาได้ และบนชั้น 2 ก็เป็นมุมที่อุทิศให้กับ Watsuji Tetsuro นักปรัชญาที่เกิดในเมืองฮิเมจิ
ปีกด้านใต้มีห้องอนุสรณ์ "Ryotaro Shiba Memorial Room" และคาเฟ่ที่ผู้เข้าชมสามารถผ่อนคลายได้
พื้นที่ผนังกระจกที่มองจากภายนอกนี้เป็น "Yoiko no Heya" สำหรับผู้ปกครองและเด็ก ๆ เป็นพื้นที่ที่สว่างและมีสีสันเหมือนห้องอาบแดด ที่นี่ ผู้เข้าชมจะสามารถถอดรองเท้า อ่านหนังสือภาพ และเล่นของเล่นขณะที่พักผ่อนคลายได้ นอกจากนี้ก็ยังมีพรมปักและโมบายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวใน "Harimakuni Fudoki" ซึ่งเป็นที่มาของชื่อฮิเมจิอยู่ด้วยเช่นกัน
พื้นที่ที่อาคารแห่งนี้ตั้งอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบนั้น มีส่วนผสมของเส้นตรงเส้นโค้ง และแสงเงาที่สวยงาม จนดูราวกับงานศิลป นอกจากนี้ ตึกรามบ้านช่องเองก็ดูมีศิลป์งดงามไม่แพ้กัน เป็นการผสมผสานระหว่างเส้นตรง เส้นโค้ง แสง และเงาที่เข้ากับธรรมชาติโดยรอบได้อย่างลงตัว
ข้อมูลสถานที่
ที่อยู่
84, Yamanoi-cho, Himeji-shi, Hyogo[แผนที่]
การเดินทาง
ขึ้นรถบัส Shinki จากสถานี Himeji ของรถไฟสาย Sanyo Electric Railway Line
ไปลงที่ป้าย Ichinohashi Bungakukan-mae
แล้วเดินต่อ 4 นาที
เวลาทำการ
10.00-17.00 น. (เข้าชมครั้งสุดท้าย 16.30 น.)
ปิด
วันจันทร์ (เปิดทำการหากวันจันทร์เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
วันถัดจากวันหยุดนักขัตฤกษ์ (เปิดวันเสาร์-อาทิตย์)
วันหยุดปีใหม่ (25 ธ.ค.-5 ม.ค.)
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่: 450เยน
นักเรียนมหาวิทยาลัยและนักเรียนมัธยมปลาย: 300เยน
นักเรียนมัธยมต้นและประถม: 15oyen
เป็นอย่างไรกันบ้าง?
เมื่อพูดถึงงานสถาปัตยกรรมแล้วล่ะก็ งานของ Tadao Ando คือสิ่งที่พลาดไม่ได้! หากคุณไปเที่ยวญี่ปุ่นก็ลองไปสัมผัสกับสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงระดับโลกของ Tadao Ando ไปพร้อม ๆ กับการเที่ยวชมดูสิ